13. อกุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม
ทั้งหลายที่เกิดหลัง ๆ ด้วยอำนาจของสมนันตรปัจจัย
14. อกุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อัพยากต-
ธรรมทั้งหลายที่เกิดหลัง ๆ ด้วยอำนาจของสมนันตรปัจจัย
15. อัพยากตธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อัพยา-
กตธรรมทั้งหลายที่เกิดหลัง ๆ ด้วยอำนาจของสมนันตรปัจจัย
16. อัพยากตธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่กุศล-
ธรรมทั้งหลายที่เกิดหลัง ๆ ด้วยอำนาจของสมนันตรปัจจัย
17. อัพยากตธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อกุศล-
ธรรมทั้งหลายที่เกิดหลัง ๆ ด้วยอำนาจของสมนันตรปัจจัย
18. ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ๆ คือ จิตและเจตสิก เกิด
ขึ้นในลำดับแห่งธรรมทั้งหลายเหล่าใด ๆ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ๆ
เป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ๆ ด้วยอำนาจของสมนันตร-
ปัจจัย.
วรรณนานิทเทสแห่งสมนันตรปัจจัย
นิทเทสแห่งสมนันตรปัจจัย เหมือนกับอนันตรปัจจัยนี้เอง. ก็
ปัจจัยทั้งสองนี้กว้างขวางมาก เพราะฉะนั้น พึงกำหนดถือเอาความพิสดาร
แห่งปัจจัยทั้งสองนั้น ด้วยอำนาจการเกิดขึ้นของจิตทั้งหมด.
วรรณนานิทเทสแห่งสมนันตรปัจจัย จบ
[7]
สหชาตปัจจัย
ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเกิดพร้อม
กัน กล่าวคือ
1. นามขันธ์ 4 เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ด้วยอำนาจของ
สหชาตปัจจัย
2. มหาภูตรูป 4 เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ด้วยอำนาจของ
สหชาตปัจจัย
3. ในปฏิสนธิขณะ นามและรูปเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ด้วย
อำนาจของสหชาต ปัจจัย
4. จิตและเจตสิกธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่รูปทั้งหลายที่มี
จิตเป็นสมุฏฐาน ด้วยอำนาจของสหชาตปัจจัย
5. มหาภูตรูป เป็นปัจจัยแก่อุปาทารูปทั้งหลาย ด้วยอำนาจ
ของสหชาตปัจจัย
6. รูปธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่อรูปธรรมทั้งหลายในกาล
บางครั้ง ด้วยอำนาจของสหชาตปัจจัย
7. รูปธรรมทั้งหลาย ไม่เป็นปัจจัยแก่อรูปธรรมทั้งหลายใน
กาลบางครั้ง ด้วยอำนาจของสหชาตปัจจัย.วรรณนานิทเทสแห่งสหชาตปัจจัย
ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยใน สหชาตปัจจัยนิทเทส ต่อไป.
บทว่า อญฺญมญฺญํ แปลว่า ซึ่งกันและกัน. ด้วยบทนี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นปัจจัยและปัจจยุบบัน
ในขณะเดียวกัน. บทว่า โอกฺกนฺติกฺขเณ คือ ในขณะปฏิสนธิในปัญจ-